วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557


อาเซียน +3

       คือ กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นสมาชิกในอาเซียน 10 ประเทศ  และประเทศเพิ่มมา 3 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ 

        เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออก ด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน  ด้านพลังงาน       สิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลก  ด้านสังคมและวัฒนธรรม


















เรามาทำความคุ้นเคยประเทศจีนกันเถอะ
Zhonghua Renmin Gongheguo คือ ชื่อเป็นทางการของสาธารณรัฐประชาชนจีน คนทั่วไปมักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า "จงกั๋ว" ซึ่งแปลว่า "อาณาจักรกลาง"
ที่ตั้ง จีนตั้งอยู่บนทวีปเอเชียตะวันออก มีพรมแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ โดยรอบ 15 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือ รัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน เคอร์กิชสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย เนปาล สิกขิม ภูฐาน พม่า ลาว และเวียดนาม ขณะที่ทิศตะวันออกและทิศใต้จดทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้
พื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองจากประเทศ รัสเซีย และแคนาดา พรมแดนทางบกของจีนมีความยาว 28,000 กิโลเมตร และมีชายฝั่งทะเลยาว 18,000 กิโลเมตร เกาะที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาเกาะน้อยใหญ่ทั้งหมด 6,536 เกาะ คือเกาะไต้หวันและไห่หนาน เมืองหลวงคือ ปักกิ่ง
เมืองหลวง กรุงปักกิ่งหรือเป่ยจิง (ภาษาราชการจีนเรียกว่า “เป่ยจิง” - Beijing ) มีประชากร ประมาณ 30 ล้านคน

หอบูชาฟ้า ในวัดแห่งสวรรค์ในกรุงเป่ยจิง ( ปักกิ่ง ) เป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นศูนย์กลางของจีนในพิภพนี้

ประชากร ประมาณ 1,300 ล้านคน มีประชากรมาก เป็นอันดับหนึ่งของโลก 93% เป็นชาวฮั่น ส่วนที่เหลือ 7% เป็นชนกลุ่มน้อย ได้แก่ ชนเผ่าจ้วง หุย อุยกูร์ หยี ทิเบต แม้ว แมนจู มองโกล ไตหรือไท เกาซัน รัฐบาลจีนมีนโยบายเพื่อควบคุมจำนวนประชากรชาวฮั่น ซึ่งครอบครัวหนึ่ง ควรมีบุตรเพียงหนึ่งคนเท่านั้น นโยบายนี้ไม่ได้บังคับใช้ในชนกลุ่มน้อย

วัฒนธรรมจีน การเรียกชื่อสกุลของชาวจีนตรงกันข้ามกับภาษาไทย คือเรียกต้นด้วยชื่อสกุล ชื่อตัวใช้เรียกกันในหมู่ญาติ และเพื่อนสนิท โดยปกติชาวจีนมักไม่ทักทาย ด้วยการจับมือหรือจูบเพื่อร่ำลา

       สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ชาวจีนมีเครือข่ายคนรู้จัก ( เหมือนกับการมีเส้นสายในไทย ) กล่าวกันว่าชาวจีนที่ไร้เครือข่ายคนรู้จัก เป็นผู้ที่เป็นจีนเพียงครึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องทำความรู้จักกับผู้คนชาวต่างชาติ ซึ่งทำธุรกิจในประเทศจีน ดังนั้นควรให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมนี้ด้วยการเชื้อเชิญ

ภาษา แมนดารินเป็นภาษาราชการ และมีภาษาท้องถิ่นอีกจำนวนมาก เช่น ภาษากวางตุ้ง แต้จิ๋ว เซี่ยงไฮ้ แคะ ฮกเกี้ยน เสฉวน หูหนาน ไหหลำ เป็นต้น ส่วนใหญ่ใช้อักษรจีนแบบย่อ (Simplified Chinese) มีอักษรทั้งหมด 56,000 ตัว ใช้ประจำ 6,763 ตัว ถ้ารู้เพียง 3,000 ตัว ก็อ่านหนังสือพิมพ์และทั่วไปได้

ประวัติศาสตร์ กว่า 4,000 - 5,000 ปี ช่วง 3,500 ปี เป็นยุคประวัติศาสตร์ราชวงศ์แรกสุดคือ ราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์สำคัญของจีน เช่น ฉิน ฮั่นถัง ซ่ง จีนปกครองแบบสาธารณรัฐเมื่อ ค.ศ. 1911 และเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อ ค.ศ. 1949
ภูมิอากาศ พื้นที่ภาคเหนือมี 4 ฤดู แห้งและหนาวเย็นในหน้าหนาว ร้อนอบอ้าวในหน้าร้อน ตอนใต้มีอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งอากาศจะแตกต่างกันตามภูมิประเทศ

ภูมิประเทศ ส่วนที่ใหญ่ที่สุดของจีนอยู่ในเขตอบอุ่น ซึ่งมีฤดูกาลที่แตกต่างกันไป ทางตะวันตกส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา ทะเลทราย และที่ราบสูง และค่อยๆ ลาดลงทางทิศตะวันออก


ธงชาติ รูปดาวสีเหลือง 5 ดวงบนพื้นสีแดง (ดาวดวงใหญ่หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเป็นผู้นำ ดาวเล็กๆ ทั้งสี่ดวงหมายถึง “ชนชั้น” ที่ประกอบขึ้นเป็นสังคมจีน คือ ชนชั้นกรรมกร ชนชั้นชาวนา ชนชั้นนายทุนน้อย และชนชั้นนายทุนแห่งชาติ)

เขตการปกครอง การปกครองส่วนกลางแบ่งออกเป็น 23 มณฑล (รวมถึงไต้หวัน) , 5 เขตปกครองตนเอง (มองโกเลีย หนิงเซี่ย ซินเจียง กวางสี และทิเบต) , 4 มหานครที่ขึ้นต่อส่วนกลาง (ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน และฉงชิ่ง และ 2 เขตบริหารพิเศษ (ฮ่องกง และมาเก๊า)
ศาสนาและความเชื่อ
       ในสมัยโบราณ จีนนับเป็นดินแดนที่มีศาสนาและปรัชญารุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่มากมาย โดยลัทธิความเชื่อเดิม นั้นมีอยู่สองอย่างคือ ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเน้นหลักจริยธรรมมากกว่าที่ จะเป็น หลักศาสนาที่แท้จริง ส่วนพุทธศาสนานั้น จีนเพิ่งรับมาจากอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษแรกนี้เท่านั้น ครั้นมาถึงยุคคอมมิวนิสต์ ศาสนากลับถูกว่าเป็นปฎิปักษ์ต่อลัทธิทางการเมืองโดยตรง แต่ในช่วงหลังๆ นี้ทางการก็ได้ยอมผ่อนปรนให้ กับการนับถือศาสนาและความเชื่อต่างๆ ของประชาชนมากขึ้นอีกครั้ง ลักธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ( ในเขตตะวันตกของจีน ) และศาสนาคริสต์จึงได้กลับมาเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ชาวจีน ยังเชื่อถือในเรื่องตัวเลขนำโชคหมอดู และการพยากรณ์กันมาตั้งแต่ครั้งโบร่ำโบราณ เฟินสุ่ยและตัวเลขนำโชค

       แนวคิดเรื่องพรหมลิขิตของจีนเริ่มมีขึ้นในยุคสังคมศักดินาที่ผู้คนเชื่อกันว่า " เทพเจ้า " ( จักรพรรดิ ) สามารถตัดสินชะตาของคนได้ แต่เมื่อเกิดกบฏโค่นล้มราชวงค์ลงได้สำเร็จ ความเชื่อที่ว่าจักรพรรดิ เป็นผู้ไร้เทียมทานก็พลอยดับสูญไปด้วย ประชาชนได้หันมาบูชาม้าและวัว จนนำไปสู่การสังเกตุเห็นว่า เป็นรูปร่าง ขน และสีผิวที่ต่างกันย่อมส่งผลให้สัตว์แต่ละประเภทมีความสามารถ อารมณ์ อายุที่ยืนยาวแตกต่างกันไป สุดท้ายจึงหันมาสังเกตุดูลักษณะของคนด้วยกันเองบ้าง

เฟิงสุ่ย ( ฮวงจุ้ย/น้ำและลม ) เป็นศาสตร์แห่งการพยากรณ์ที่มีมาแต่โบราณ ใช้ดึงดูดโชคลาภและปัดเป่า เคราะห์ร้ายนานา ผู้เชื่อถือศาสตร์นี้จะไปขอคำแนะนำจากอาจารย์ดูเฟินสุ่ยทุกเรื่อง ทั้งการออกแบบ หาฤกษ์ยาม การตกแต่งบ้านหรือสำนักงาน เป็นต้น

       อาจารย์ดูเฟินสุ่ยส่วนใหญ่จะเชื่ยวชาญการดูโหงวเฮ้ง ดูลายมือ ดูดวงจากวันเดือนปีเกิด และเวลาตกฟากด้วย นักปรัชญจีนในสมัยราชวงค์ฮั่น ได้คิดค้นระบบ 12 นักษัตร อันประกอบด้วย ปีชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุนขึ้น โดยแบ่งคนออกเป็น 12 กลุ่มตามปีเกิด และนำเอาหลักปรัชญากับตัวเลขมาคิดคำนวณเพื่อพยากรณ์โชคเคราะห์ และอนาคตของบุคคล เช่น เลขสองหมายถึงความสบาย เลขสามคือชีวิตหรือการให้กำเนิดบุตร เลขหกคือการมีอายุยืน เลขแปดคือความมั่งคั่งร่ำรวย เลขเก้าคือความเป็นนิรันดร์ เมื่อนำตัวเลขมารวมกันก็จะได้ความหมายที่แตกต่างกันออกไป เช่น 163 หมายถึง "การมีอายุยืนยาว" หรือ "การมีลูกดก" เป็นต้น
เงินตรา
       สกุลเงินของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนคือเงินเหยินหมินปี้ ( Renminbi แปลตามตัวว่าเงินของประชาชน ) มักใช้ตัวย่อ RMB หน่วยเงินของจีนเรียกว่าหยวน ( yuan ) หนึ่งหยวนมีสิบเจี่ยว ( jiao ) หนึ่งเจี่ยวมีสิบเฟิน ( fen ) 100 เฟินเท่ากับหนึ่งหยวน ธนบัตรแบ่งออกเป็นใบละ 1 หยวน , 5 เจี่ยว , 1,2 และ 5 เฟิน
เฟินเป็นหน่วยเล็กสุด < เจี่ยวหรือเหมาเป็นหลักสิบ < จากนั้นเป็นหยวน
วันหยุดนักขัตฤกษ์
       งานเทศกาลพื้นบ้านของจีน เช่น เทศกาลตรุษจีนจะถือเอาวันตามปฏิทินทางจันทรคติเป็นหลัก ดังนั้นวันที่มีการจัดงานเทศกาลดังกล่าวขึ้นจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่เคยตรงกันเลยในแต่ละปี ส่วนวันหยุดราชการนั้นจะถือเอาวันตามปฏิทินของทางตะวันตกเป็นหลัก
1 มกราคม : วันขึ้นปีใหม่
กุมภาพันธ์ : วันตรุษจีน ( กำหนดวันในแต่ละปีไม่ตรงกัน )
8 มีนาคม : วันสตรีสากล
1 พฤษภาคม : วันแรงงานสากล
4 พฤษภาคม : วันเยาวชน
1 มิถุนายน : วันเด็ก
1 กรกฎาคม : วันก่อตั้งพรรคคอมมินิสต์
1 สิงหาคม : วันก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยประชาชน
1 ตุลาคม : วันชาติ (สาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ภายหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ จีนมีชัยชนะในสงครามกลางเมืองเหนือพรรคก๊กหมินตั๋ง)
ศิลปะและงานหัตถกรรม
       ประวัติศาสตร์อันยาวนานและความภูมิใจในอารยธรรมของตน ส่งผลให้จีนพัฒนา และสร้างงานศิลปะหัตถกรรมที่งดงาม อันทรงคุณค่ายิ่ง
ภาพเขียน
       ศิลปะการวาดภาพของจีนมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับศิลปะการเขียนอักษร ในสมัยโบราณจิตรกรจะต้องฝึกฝนศิลปะการเขียนอักษรอย่างจริงจัง ส่วนนักเขียนอักษรก็มักมีประสบการณ์ในการวาดภาพ ศิลปะทั้งสองแขนงจะต้องเคียงกันในงานแต่ละชิ้น

       ชาวจีนถือว่าอักษรเป็นเครื่องมือในการสืบทอดวัฒนธรรม และความสมารถในเขิงอักษรศาสตร์ยังช่วยส่งบุคคลให้ ก้าวสู่สถานภาพทางสังคมที่สูงยิ่งขึ้น แม้จะมีภาษาถิ่นที่หลากหลาย แต่ภาษาเขียนกลับมีเพียงหนึ่งเดียว ภาษาเขียนซึ่งมีเอกภาพและเป็นเครื่องมือสืบทอดประวัติศาสตร์นี้ จึงมีความสำคัญกว่าภาษาพูด
เครื่องกระเบื้องเคลือบ
       ชาวจีนคิดประดิษฐ์เครื่องเคลือบขึ้นในราวศตวรรษที่ 7 แต่เครื่องเซรามิกนั้นมีมาตั้งแต่ยุคหินใหม่แล้ว โดยกลุ่มแม่น้ำหวงเหอและฉางเจียงนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของภาชนะดินเผาลายหวี-ลายเชือก สีแดงและสีดำมีอายุราว 7,000 - 8,000 ปี ส่วนแหล่งอารยธรรมหยางเส้ากับหลงซาน ( 5,000 - 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ) ก็ได้พัฒนารูปแบบภาชนะดินเผาขึ้นจนมีความหลากหลายโดยใช้สีแดง ดำ และน้ำตาลเป็นหลัก และยังมีการคิดประดิษฐ์ภาชนะดินเผาลายหน้ากากมนุษย์และปลาที่มีผิวบาง แข็งแกร่งเคลือบด้วยดินเหนียวสีขาว และทรายชั้นดีต่อมาในยุคราชวงศ์ฮั่นได้มีการทำเครื่องเคลือบสีเทาอ่อน ผิวเหลือบเขียวเป็นมันวาวขึ้นที่เมืองเยว่โจว
ถึงยุคราชวงศ์ถังมีชื่อเสียงลือไปไกลถึงยุโรปและตะวันออกกลาง
ยุคราชวงศ์ยวน ได้มีการนำเทคนิคจากตะวันออกใกล้มาใช้เขียนลวดลายใต้ผิวเคลือบให้เป็นสีน้ำเงินสด เป็นที่รู้จักในนามเครื่องเคลือบราชวงศ์หมิง

ครั้นถึงยุคต้นราชวงศ์ชิง เครื่องเคลือบสีฟ้า - ขาวก็ได้รับการพัฒนาคุณภาพขึ้นจนบรรลุถึงขั้นสูงสุด
เครื่องหยก
       หยกจัดเป็นอัญมณีมีค่าของจีน และเป็นหนึ่งในงานฝีมือที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจนถึงขั้นสุดยอดมาแต่ครั้งโบราณ
       มีตำนานเล่าว่าเมื่อผานกู่สิ้นชีพ ลมหายใจของท่านได้กลายเป็นสายลมกับหมู่เมฆ เนื้อหนังกลายเป็นดิน ไขกระดูกกายเป็นหยกและไข่มุก ชาวจีนจึงเชื่อว่าหยกมีทั้งความงามและอำนาจวิเศษ คนโบราณเคยใช้หยกประกอบพิธีศาสนา ก่อนนำมาใช้เป็นเครื่องประดับ เครื่องหยกที่เก่าแก่ที่สุดนั้นขุดพบในชุมชนยุคหินใหม่เมื่อ 7,000 ปีก่อนที่เหอหม่าตู ความเชื่อที่ว่าหยกมีอำนาจปกปักรักษา ทำให้มีการนำหยกไปทำเป็นชุดให้กับคนตาย หยกประกอบด้วยธาตุเจไดต์และเนไฟรต์ เจไดต์นั้นมีค่ามากกว่าเพราะหายาก เนื้อแกร่ง สีใสกึ่งโปร่งแสง ในขณะที่เนไฟรต์จะมีเนื้ออ่อนกว่า สีของหยกมีหลากหลายตั้งแต่ขาวไปจนถึงเขียว ดำ น้ำตาล และแดง ชาวจีนถือว่าหยกสีเขียวมรกตเป็นหยกที่มีค่ามากที่สุด แหล่งผลิตเครื่องหยกของจีนในปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองชิงเทียน (มณฑลเจ๋อเจียง) โซ่วซาน (มณฑลฝูเจี้ยน)และลั่วหยาง (มณฑลเหอหนาน)
อาหารจีน
       หากจะเลือกอาหารของชาติใดขึ้นมาเป็นอาหารสากลสักชาติหนึ่ง ก็ไม่ควรมองข้ามอาหารจีน เพราะมีที่ใดในโลกบ้างที่คุณหาซื้ออาหารจีนกินไม่ได้ ?
       จีนเป็นชนชาติที่ผูกพันแนบแน่นอยู่กับอาหารการกิน ปัญหาทุพภิกขภัยในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาได้บีบบังคับให้ชาวจีนต้องคิดหาวิธีใช้ และถนอมอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
       นอกจากนี้ชนชั้นสูงยังใช้อาหารเพื่อเครื่องแสดงออกซึ่งความมั่งคั่ง และสถานภาพอันสูงส่งของตนอีกด้วย เนื่องจากจีนมีภูมิประเทศอันหลากหลาย จีนอุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องเทศและพืชผักนานาพันธุ์
       ความใส่ใจในเรื่องอาหารของชาวจีนสะท้อนออกมาทางปรัชญา และวรรณคดี โดยนักปราชญ์ผู้สร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ มักเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารด้วย เหลาจื่อสอนว่า “จงรับมือกับประเทศใหญ่ๆ ด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวลเสมือนหนึ่งท่านกำลังทำปลาตัวเล็ก ๆ”
       จวงจื่อเคยแต่งโคลงแนะนำการคัดสรรพ่อครัวให้กับจักรพรรดิ ความว่า “พ่อครัวชั้นดีจะเปลี่ยนมีดใหม่เพียงปีละครั้งเพราะเขาหั่น พ่อครัวชั้นเลวจะเปลี่ยนมีดใหม่ทุกเดือนเพราะเขาสับ” ทัศนคติเช่นนี้เองที่ส่งเสริมให้อาหารจีนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีสุดในโลก
อุปกรณ์สำคัญในการทำครัวของชาวจีนมีอยู่สี่อย่าง คือ เขียง มีด กระทะก้นกลม และตะหลิว
       ชาวจีนประกอบอาหารด้วยการผัดในกระทะไฟแรงเป็นหลัก เพราะเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและทำให้อาหารคงคุณค่าความสดกรอบเอาไว้ได้ การทอด นึ่งและเคี่ยวก็เป็นวิธีที่นิยมทำกันมาก ในขณะที่การย่างและอบนั้นจะทำกันแต่ในครัวของภัตตาคารเท่านั้น อาหารจีนจะต้องถึงพร้อมทั้งสีสัน รสชาติ และหน้าตา มีอาหารอยู่เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ปรุงอย่างเดียวเดี่ยวๆ โดดๆ สิ่งสำคัญคือส่วนประกอบต่างๆ จะต้องกลมกลืนเข้ากันได้กับเครื่องปรุงรสจำพวกซีอิ้ว กระเทียม ขิง น้ำส้ม น้ำมันงา แป้งถั่วเหลือง และหอมแดง

ข้อมูลประเทศเกาหลีใต้



สาธารณรัฐเกาหลี (Republic of Korea) หรือ เกาหลีใต้ (South Korea) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พรมแดนทางเหนือติดกับประเทศเกาหลีเหนือ มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้โดยมีทะเลญี่ปุ่นและช่องแคบเกาหลีกั้นไว้

ใน
ภาษาเกาหลีอ่านชื่อประเทศว่า แดฮัน มินกุก โดยเรียกสั้น ๆ ว่า ฮันกุก ที่หมายถึงคนชาวฮั่นหรือคนเกาหลี และบางครั้งจะใช้ชื่อว่า นัมฮัน ที่หมายถึง ชาวฮั่นทางใต้ ส่วนชาวเกาหลีเหนือจะเรียกเกาหลีใต้ว่า นัมโชซอน ที่หมายถึง โชซอนใต้

ภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศ      
ประเทศเกาหลีใต้ตั้งอยู่ ละติจูดที่ 33 – 39 องศาเหนือ และลองติจูดที่ 125 - 131 องศาตะวันออก มีพื้นที่ทั้งหมด 99,208 ตารางกิโลเมตร รวมพี้นที่ของน้ำ (ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ แม่น้ำ) ที่อยู่ภายในดินแดนนั้นด้วย 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศเป็นภูเขา ขนาดเนื้อที่ของประเทศใหญ่เป็นอันดับที่ 108 ของโลก

เกาหลีใต้เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก มีพื้นที่ครอบคลุมทางใต้ของคาบสมุทรเกาหลี พรมแดนทางเหนือติดกับประเทศเกาหลีเหนือ มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีทะเลญี่ปุ่นและช่องแคบเกาหลีกั้นไว้ ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ล่อแหลมนี้เอง ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์จึงพบว่า ประเทศเกาหลีเคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่น(ค.ศ. 1910) จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2(ค.ศ.1945) คาบสมุทรเกาหลีได้ถูกแบ่งแยกเป็นสองส่วน คือ ตอนเหนือเป็นของสาธารณรัฐประชาธิปไตจประชาชนเกาหลี(เกาหลีเหนือ) และตอนใต้เป็นของสาธารณรัฐเกาหลี(เกาหลีใต้) 

เมืองหลวง
เมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ คือ กรุงโซล จัดเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดของประเทศ

ประชากร 
เกาหลีใต้มีจำนวนประชากร 48,482,000 คน มากเป็นอันดับที่ 26 ของโลก ซึ่งข้อมูลนี้สำรวจโดย United States Census Bureau ประจำปี 2550 (ค.ศ. 2007) แทบจะไม่มีชนชาติอื่นนอกจากคนเกาหลีเอง แต่ก็มีชาวจีนประมาณ 3 หมื่นคน ซึ่งอยู่ตามเขตเมืองหลวงมาช้านานแล้ว และยังมีชาวฟิลิปปินส์อีก 72,000 คน


ภูมิอากาศ
ประเทศเกาหลีใต้มีสภาพอากาศอยู่ในเขตอบอุ่น และมีฤดูกาลหรือในภาษาเกาหลีที่เรียกว่า “คเยจอล( )” ทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว (Winter), ฤดูใบไม้ผลิ (Spring), ฤดูร้อน (Summer) และฤดูใบไม้ร่วง (Autumn / Fall)

ฤดูหนาว – คยออุล
      ช่วงเวลา ธันวาคม – กุมภาพันธ์
อุณหภูมิ อุณหภูมิเฉลี่ย -5 องศาเซลเซียส และอาจต่ำสุดถึง - 20 องศาเซลเซียส ในช่วงที่หนาวจัดสภาพอากาศ อากาศหนาวเย็นและแห้ง บางครั้งมีฝนหรือหิมะตก และจะมีช่วงวันที่อากาศหนาวจัดสลับกับวันที่อากาศอุ่นสบาย 3 -4 วัน

ฤดูใบไม้ผลิ – พม    ช่วงเวลา มีนาคม – พฤษภาคมอุณหภูมิ อุณหภูมิเฉลี่ย 6 -16 องศาเซลเซียสสภาพอากาศ ปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน ต้นไม้จะผลิใบสะพรั่งเต็มต้น ช่วงกลางเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม แสงแดดสดใสตลอดทั้งวัน

ฤดูร้อน – ยอรึม    ช่วงเวลา มิถุนายน – สิงหาคม
อุณหภูมิ อุณหภูมิเฉลี่ย 25 องศาเซลเซียส และอาจถึง 35 – 38 องศาเซลเซียส ในช่วงที่ร้อนจัดสภาพอากาศ อากาศร้อน และมีฝนตกบ้าง ต้นไม้เขียวชะอุ่ม ฤดูมรสุมจะเริ่มขึ้นในปลายเดือนมิถุนายน จนถึงช่วงกลางหรือปลายเดือนกรกฎาคม และในเดือนสิงหาคมอากาศจะร้อนจัดและชื้นมาก


ฤดูใบไม้ร่วง – คาอึล   ช่วงเวลา กันยายน - พฤศจิกายน
อุณหภูมิ อุณหภูมิเฉลี่ย 5-25 องศาเซลเซียส สภาพอากาศ อากาศสดชื่น ท้องฟ้าโปร่ง เป็นสีคราม และในเดือนตุลาคมทั่วประเทศจะมีสีสันสดใสด้วยใบไม้ ที่เปลี่ยนเป็นสีทองและสีแดงเต็มต้น ถือเป็นช่วงที่เหมาะกับการท่องเที่ยวมากที่สุด
เวลา
เวลาในประเทศเกาหลีใต้ เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง

ภาษา
ชาวเกาหลีใต้สื่อสารกันด้วยภาษาเดียวกัน คือ ภาษาเกาหลี ส่วนใหญ่เรียกภาษาของตนว่า “ฮันกุกมัล” หรือ “ฮันกุกอ” บางครั้งอาจเรียกแบบภาษาชาวบ้านว่า “อูรีมัล” แปลว่า ภาษาของเรา โดยในกรุงโซลและเขตปริมณฑลจะใช้เป็นภาษากลาง ส่วนภาษาท้องถิ่นก็มีใช้กันตามภาคต่างๆ แต่ถึงกระนั้นชาวเกาหลีใต้ก็สามารถสื่อสารเข้าใจกันเป็นอย่างดี ยกเว้นภาษาท้องถิ่นของเกาะเชจู ซึ่งเข้าใจยากกว่าท้องถิ่นอื่นๆ

ภาษาเกาหลี มีตัวอักษรที่เรียกว่า “ฮันกึล” เป็นอักษรที่กษัตริย์เซจงทรงประดิษฐ์ขึ้น ประกอบไปด้วย พยัญชนะ 14 ตัว และสระ 10 ตัว ซึ่งสามารถผสมกันเป็นพยางค์และคำต่างๆได้มากมาย อักษรฮันกึลได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นตามหลักการทางวิทยาศาสตร์มากที่สุด เป็นอักษรที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย

ศาสนา
ชาวเกาหลีใต้มีศาสนาที่ตนนับถือกันอย่างหลากหลาย กล่าวคือ นับถือศาสนาคริสต์ 26.3% (นิกายโปรแตสแตนท์ 19.7% และ นิกายโรมันคาทอลิก 6.6%) ศาสนาพุทธ 23.2% และศาสนาอื่นๆ 1.3% ส่วนกลุ่มที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย 49.3%

การเมืองการปกครอง
สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และประธานาธิบดี จะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศเกาหลีใต้ ประกอบไปด้วย 9 จังหวัด (โด ) 6 เมืองใหญ่หรือมหานคร (ชี ) แต่รวมทั้งประเทศมีทั้งหมด 77 เมือง และ 88 มณฑลหรืออำเภอ (กุน) โดยได้มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 จังหวัด อีก 1 จังหวัดปกครองตนเองแบบพิเศษ 6 มหานคร และ 1 นครพิเศษ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้


นครพิเศษ หรือ ทึกบยอลชี
หมายเลข โซล หรือ ซออุล

มหานคร (Metropolitan Cities) หรือ กวางยอกชี

หมายเลข พูซาน
หมายเลข แทกู 

หมายเลข อินชอน 
หมายเลข กวางจู 
หมายเลข แทจอน

หมายเลข อุลซาน

จังหวัด (Provinces) หรือ โด
หมายเลข คยองกี 
หมายเลข คังวอน 

หมายเลข 10 คยองซังบุก
หมายเลข 11 คยองซังนัม 
หมายเลข 12 ชอนลานัม 

หมายเลข 13 ชอนลาบุก 
หมายเลข 14 ชุงชองบุก 
หมายเลข 15 ชุงชองนัม

จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ หรือ
                                                                   ทึกบยอลจาชิโด
                                                                   หมายเลข 16 เชจู




สกุลเงิน
สกุลเงินของประเทศเกาหลีใต้ คือ “ วอน ” และตัวย่อตามมาตรฐาน สากล ISO 4217 คือ KRW (Korea won) เหรียญกษาปณ์แบ่งออกเป็น 10, 50, 100 และ 500 วอน ธนบัตรมี 1,000, 5,000 และ 10,000 วอน อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ประมาณ 1,200 วอน ต่อ 1 เหรียญสหรัฐ บัตรเครดิต เช่น วีซ่า อเมริกันเอ๊กซ์เพลส ไดเนอร์คลับ มาสเตอร์ และเจซีบี สามารถใช้ได้ตาม โรงแรมใหญ่ภัตตาคารใหญ่ ๆ และตามร้านค้าบางแห่ง

ศิลปะเกาหลี
ศิลปะเกาหลีมีลักษณะเด่นหลายประการที่ทำให้เกิดแบบของตัวเอง ศิลปะเกาหลียกย่องธรรมชาติ การใช้สีอ่อนและเรียบปรากฏอยู่เสมอในภาพเขียนและเครื่องปั้นแบบเกาหลี วัฒนธรรม งานหัตถธรรมพื้นบ้านคือศิลปะที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี งานไม้และเครื่องเขินของเกาหลีเป็นที่รู้จักกันดี โดยเน้นการออกแบบที่เพื่อประโยชน์ใช้สอยและความเรียบง่าย สิ่งสะดุดตาในงานไม้เกาหลีคือศิลปะการประดับมุก งานหัตถกรรมโลหะทำด้วยทอง ทำด้วยสำริด ทางด้านพระพุทธศาสนามีการสร้างพระพุทธรูปสำริด ระฆังวัดที่หล่อด้วยสำริด เอกลักษณ์ของระฆังเกาหลีคือรูปร่างการออกแบบและเสียง ศิลปะเครื่องปั้นดินเผา เกาหลีเป็นประเทศที่เป็นที่ยอมรับในการพัฒนาศิลปะด้านนี้ และเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงคือ ศิลาดล เป็นเครื่องเคลือบที่มีความสดใสฝีมือประณีตนิยม เคลือบด้วยสีขาวซึ่งพัฒนาให้สวยงามในยุคโกเรียว เพื่อการอนุรักษ์สิ่งดีงามตั้งแต่อตีด ทางการเกาหลีได้จัดตั้งโครงการสมบัติประจำชาติเกาหลีใต้ขึ้น

เครื่องแต่งกายประจำชาติของเกาหลี
ชาวเกาหลีมีชุดประจำชาติตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่า ฮันบก (ฮันหมายถึงชาวเกาหลี บกหมายถึงชุด รวมกันหมายถึงชุดของชาวเกาหลี) ฮันบกทั้งของผู้หญิงและผู้ชายมีลักษณะหลวมๆ เพื่อความสะดวกสบายและคล่องแคล่ว ไม่ใช้กระดุมหรือขอแต่จะใช้ผ้าผูกไว้แทน ชุดของผู้ชายข้างล่างประกอบด้วย "ปันซือ" แต่สมัยใหม่เรียกว่า "แพนที" ซึ่งหมายถึงกางเกงใน ชั้นนอกสวม "บาจี" เป็นกางเกงขายาวหลวมๆรวบปลายขาไว้ด้วย "แทมิน" เป็นแถบผ้าใช้มัดขากางเกง "บันโซเม" เป็นเสื้อรัดรูปแขนสั้นไว้ข้างใน เสื้อนอกเรียกว่า "จอโกลี" เป็นเสื้อแขนยาวไม่มีปกไม่มีกระเป๋า ปัจจุบันชุดแต่งกายวัฒนธรรมเดิมจะใช้เฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ตามถนนหนทางและรถไฟใต้ดินจะยังคงเห็นผู้คนสวมใส่กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุยังคงสวมใส่ชุดฮันบกอยู่

ข้อมูลของประเทศญี่ปุ่น ( Japan )




ญี่ปุ่น
 (「日本」, Nippon / Nihon, — นิฮง/นิปปอน - ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์?) 

เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันออกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอฮอส์ค เป็นเส้นแบ่งแดน 

ด้วยญี่ปุ่นมาเนื้อที่ 377,872 ตารางกิโลเมตร ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นขนาดอันดับที่ 60 ของโลก และประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮอนชู ฮอกไกโด คิวชู และ ชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือมากกว่า 128 ล้านคน 
ก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ก็ได้เรียกตัวเองว่า ยะมะโตะ ส่วน วา (倭) เป็นชื่อที่ชาวจีนยุคแรกใช้เรียกญี่ปุ่นในช่วงยุคสามก๊ก 
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองหลวงคือโตเกียว ทั้งประเทศประกอบด้วยเกาะจำนวนมาก โดยมีเกาะใหญ่ ๆ จากทางเหนือไปทางใต้คือ ฮอกไกโด (北海道) ฮอนชู (本州 เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด) ชิโกกุ (四国) และ คิวชู (九) 




ประวัติญี่ปุ่น 
ญี่ปุ่นนั้นถือกำเนิดขึ้นมายาวนั้นแล้วตั้งเป็น 10,000 ปีก่อนคริสตกาลโน่น 10,000 -300 ปี ก่อนคริสตกาล อยู่ในรัชสมัยโจมอน (Jomon) ช่วง 300 ปี ก่อนคริสตกาล-ค.ศ. 600 เป็นรัชสมัยโคฟุน (Kofun) ช่วงค.ศ.600-ค.ศ.710 เป็นรัชสมัยของอาซึกะ (Asuka) ช่วงค.ศ..710-ค.ศ.794 เป็นรัชสมัยนารา (Nara) ช่วง?ค.ศ.794-ค.ศ.1185 เป็นช่วงของรัชสมัยเฮอัน (Heian) ช่วงค.ศ.1185-1333 เป็นรัชสมัยของคามาคุระ(Kamakura) ช่วงค.ศ.1333-ค.ศ1336 เป็นช่วงรัฐสมัยของเคมมุ (Kemmu) ช่วงค.ศ. 1336-1573 เป็นรัชสมัยของมุโรมาจิ(Muromachi) ซึ่งท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิมัตสึ และอึ๊กคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญาก็มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้นั่นเอง 




ช่วงค.ศ.1573-1600 เป็นช่วงรัชสมัยของอาซุชิ-โมโมยามา (Azuchi-Momoyama) ช่วงค.ศ.1600-1867 เป็นช่วงรัชสมัยของโตกูกาว่า (Tokugawa) ต่อมาค.ศ.1868-1912 เป็นรัชสมัยของเมจิ (Meiji) โดยจักรพรรดิมัตซึฮิโต ช่วงค.ศ.1912-1926 เป็นช่วงรัชสมัยไทโช (Taisho) โดยจักรพรรดิโยชิฮิโตะ ช่วงค.ศ. 1926-1989 เป็นรัชสมัยโชวะ (Showa) โดยจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ และจากค.ศ.1989 จนถึงปัจจุบันเป็นรัชสมัยเฮเซ (Heisei) โดยจักรพรรดิอากิฮิโต 


ประเทศญี่ปุ่น (นิฮง, แปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์") เป็นประเทศในเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก และทางตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลี ชื่อในภาษาญี่ปุ่นที่มักจะแปลว่า "ดินแดนอาทิตย์อุทัย (The Land of the Rising Sun)" มาจากประเทศจีน โดยอ้างถึงที่ตั้งของประเทศญี่ปุ่น คือ ตั้งไปทางทิศตะวันออก เมื่อเทียบกับทวีปเอเชีย ก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ก็ได้เรียกตัวเองว่า ยะมะโตะ ส่วน วา เป็นชื่อที่ชาวจีนยุคแรกใช้เรียกญี่ปุ่นในช่วงยุคสามก๊ก ประเทศญี่ปุ่น ประกอบ ด้วยเกาะเป็นจำนวนมาก มีเกาะใหญ่ๆจากทางใต้ไปทางเหนือคือ เกาะคิวชู , เกาะชิโกกุ, เกาะฮอนชู ( เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด), และ เกาะฮอกไกโด 



ภูมิประเทศ 
ญี่ปุ่นเป็นประเทศหมู่เกาะ ซึ่งประกอบไปด้วยเกาะต่าง ๆ กว่า 4,000 เกาะ เรียงราย เป็นแนวยาวจากด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก และตั้งอยู่ทาง ตะวันออก สุดของโลก จึงเป็นที่มาของชื่อ " ดินแดนอาทิตย์อุทัย " จุดทางใต้สุดอยู่ที่เส้นรุ้ง ประมาณ 24 องศาเหนือ และเหนือสุดที่ประมาณ 45 องศาเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 377,800 ตารางกิโลเมตร ความยาวจากเหนือจรดใต้ ประมาณ 2,800 กิโลเมตร ญี่ปุ่นมีขนาดเล็กกว่าไทยประมาณ 0.7 เท่า แต่มีประชากรมากกว่าประมาณ 2 เท่า 

ญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะหลัก 4 เกาะคือ ฮอกไกโด ฮอนชู ชิโกกุและคิวชิว เกาะฮอนชู เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ยังแบ่งเป็น 5 ภาค เรียงจากเหนือลงมาคือ โทโฮะกุ คันโต จูบุ คิงคิ และจูโงกุมีจังหวัดต่าง ๆ ทั้งหมด 47 จังหวัด ( Prefecture ) แบ่งเป็นเมืองต่าง ๆ รวมทั้งหมดมากกว่า 650 เมืองโดยมีโตเกียว เป็นเมืองหลวง ของประเทศมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2411 พื้นที่ประมาณ 3 ใน 4 ของญี่ปุ่นจะเป็นภูเขาและเนินเขา ซึ่งอุดมไปด้วยป่าไม้ แม้ว่าความต้องการใช้ไม้จะมีมาก แต่การตัดไม้นั้นมีน้อย เนื่องจากญี่ปุ่น หันไปนำเข้าไม้ราคาถูกจากต่างประเทศ แทนการทำลายป่า 
พื้นที่ราบจะเป็นพื้นที่สำหรับการกสิกรรม และที่ตั้งของเมืองต่าง ๆ พื้นที่ราบที่ใหญ่ ที่สุดอยู่บริเวณ ใจกลางอ่าวโตเกียว คือที่ราบคันโต ( Kanto ) นอกจากนั้นก็ยังมีที่ราบโทโฮะกุ ( Tohoku ) ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชูที่ราบในฮอกไกโด และที่ราบเขตอุตสาหกรรม นาโงย่า-โอซาก้า ( Nagoya - Osaka ) ที่ราบเหล่านี้จะแน่นขนัดไปด้วยบ้านเรือน โรงงาน ที่ดินเกษตร และสาธารณูปโภค คิดเป็น 20% ของที่ดินโดยรวมทั้งประเทศ 


ภูมิอากาศ - ฤดูกาล
ฤดูกาลในญี่ปุ่นมี 4 ฤดู คือเริ่มจาก ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ซึ่งแต่ ละฤดูก็มีความสวยงาม ความน่ารักอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละฤดู ไม่ว่าท่าน จะได้ ไปเยือนญี่ปุ่นในช่วงใดก็ตาม ญี่ปุ่นจะสร้างความประทับใจให้ท่านเสมอ 


ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มต้นในเดือนมีนาคมเรื่อยไปจนถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาแห่งความสดชื่น เนื่องมาจากการเบิกบานของดอกไม้เริ่มผลิแย้ม ใบไม้สีเขียวขจีแตกยอดชูไสว ลมเอื่อย ๆ เริ่มพัดพาเอากลิ่นไอ แห่ง ธรรมชาติ สีสรรแห่งชีวิตเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นฤดูที่น่าเที่ยวมากที่สุด โดยเฉพาะ ช่วง เดือนเมษายน อันเป็นเดือนที่ดอกซากุระบานสะพรั่งทุกแห่งหน จะถูกปกคลุมไปด้วย สีชมพู และขาว ชาวญี่ปุ่นจะพากันเอาเสื่อมาปูใต้ต้นซากุระ และจิบสาเก พลางชื่นชม ความงาม ของซากุระ เป็นภาพที่ติดตรึง อยู่ในความทรงจำและประทับใจตลอดไป แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ซากุระนี้จะบานอยู่เพียง 1-2 อุณหภูมิ 12-16 ซ. 


ฤดูร้อน 
เริ่มตั้งแต่มิ.ย.-ส.ค. ฤดูร้อนในญี่ปุ่นเริ่มในเดือนมิถุนายน ซึ่งก่อนหน้านี้จะฝนตกอยู่ประมาณ 5 อาทิตย์ ทำให้ ซากุระร่วงหมด แต่จะกลายเป็นการเริ่มต้นแห่งฤดูปลูกข้าวของชาวนา อากาศ จะเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ฤดูนี้จะเป็นฤดูแห่งความสนุกสนาน เพราะเป็นช่วง ที่มีเทศกาลประจำปี ต่างๆ มากมายรวมทั้งการเฉลิมฉลองต่างๆ เป็นช่วงแห่งการท่องเที่ยว และตาก อากาศตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จนเต็มไปด้วยผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะตามสถานที่ตากอากาศแถบชาย ทะเล ซึ่งคนนิยมไปทะเลในเดือน กรกฎาคม และสิงหาคม จึงเป็นฤดูที่มีอากาศดี ท้องฟ้าสีคราม สดใส จึงทำให้มีคนนิยมไป เที่ยว ทะเล กันจำนวนมาก ผลไม้ ในฤดูนี้จะมีผลไม้ มากมายให้ ลองลิ้ม ชิมรส นับเป็นฤดูที่ น่าท่องเที่ยว มากไม่แพ้ฤดูใบไม้ผลิ. 


ฤดูใบไม้ร่วง 
เริ่มตั้งแต่ เดือนก.ย.-พ.ย. ดูใบไม้ร่วงในญี่ปุ่นจะเริ่มในราวเดือนกันยายนจนถึงเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงที่มีอากาศดี เพราะหลังจากฤดูร้อนผ่านพ้นไป ลมเย็น ๆ ก็พัดมาแทนที่ พฤกษา นานาพันธุ์ เริ่มผลัดสีจากเขียวเป็นแดง ส้ม เหลือง แล้วก็พากันร่วงหล่นลงดิน เหลือแต่กิ่งก้านโบกไหวไปตามลมรอวันที่ลมหนาวพัดมาเยือนอย่างท้าทาย ในฤดูนี้นับว่าเป็นฤดูที่มีสีสันมาก ที่สุด คนจึงนิยมไปตามภูเขาในป่า สวนสาธารณะจะเต็มไปด้วยสีแดง ส้ม เหลือง และบรรดา พฤกษาผลัดสีมีมากมายหลายพันธุ์ที่พอสลัด ใบร่วงหล่น หมดก็จะ แตกช่อ ออกดอก นับเป็นช่วง ฤดูกาลที่สวยสดงดงามชวนอภิรมย์ยิ่งนัก และโดยเฉพาะ สำหรับ ชาวญี่ปุ่นมันเป็น ช่วงเวลาของการเล่นกีฬา ดนตรี และพักผ่อน อุณหภูมิประมาณ 14-18 ซ. 


ฤดูหนาว 
เริ่มตั้งแต่ ธ.ค.-ก.พ. ฤดูหนาวของญี่ปุ่นเริ่มต้นในราวเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงฤดูกาลที่หนาวเย็น ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะ ในทาง ภาคเหนือ น้ำในแม่น้ำลำคลอง และทะเลสาป บางแห่งจะกลายเป็นน้ำแข็ง บรรดา เด็กและ ผู้ใหญ่ ต่างพากันออกมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันเป็นที่สนุกสนาน ส่วนบนภูเขาก็จะมีการเล่นสกีกันในเมืองซัปโปโร ที่เกาะฮอกไกโด จะมีงาน "เทศกาลหิมะ" เฉลิมฉลองกัน อย่างเต็มที่ เป็นงานเทศกาลใหญ่ระดับโลกก็ว่าได้ มีการประกวดการปั้นหิมะ เป็นรูป สถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างในประเทศต่างๆ 
นอกจากนี้เป็น ช่วงฤดูหนาวแห่ง ความสุข ของครอบครัวอย่างแท้จริง ชาวญี่ปุ่นทุกคนในครอบครัว มักจะมานั่งผิงไฟ รวมกันพูดคุย หยอกล้อเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีค่ามาก เด็ก ๆ ทุกคน ต่างพากัน รอนับวันสำคัญ ที่พวกเขาถือว่า เป็นวันที่ดีที่สุดในรอบปีนั่นคือ วันคริสต์มาส และวันปีใหม่ ทุกแห่งหนจะ มีการประดับประดาด้วยไฟหลากสีสวยงาม น่าประทับใจยิ่งนัก นอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาวคน ญี่ปุ่น นิยมไปเที่ยวแช่น้ำร้อนที่เรียกว่า Onsen กันมากในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิเฉลี่ย ประมาณ 1-8 องศา 


ขอบคุณภาพสวยๆจาก
  • www.modernplus.com
  • www.phototravels.net
  • www.asianinfo.org
  • www.sarukoen.com
  • www.j-isle.com
  • www.zanshin-kai.co.uk
  • www.aui.ma
  • www.britannica.com
  • hms.com.mt
  • personal.furano.ne.jp
  • www.deshow.net
  • www.pinktentacle.com
  • barista.media2.org
  • www.nytimes.com
  • www.virginmedia.com
  • www.rpst-digital.org
  • celestialkitsune.wordpress.com
  • www.jal.com